So What เป็นเพลงแจ๊สที่เรียบง่าย แต่ทรงพลัง และมีกลิ่นอายของความก้าวหน้า
“So What” เป็นหนึ่งในเพลงแจ๊สที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักมากที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการเป็นส่วนหนึ่งในอัลบั้ม “Kind of Blue” ของ Miles Davis ที่ออกจำหน่ายในปี 1959 อัลบั้มนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในอัลบั้มแจ๊สที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล และ “So What” ก็กลายเป็นเพลงมาตรฐานของวงแจ๊ส
ก่อนที่จะได้มาถึง “So What” Miles Davis ได้สร้างชื่อเสียงให้ตัวเองในฐานะนักทรัมเป็ตที่มีความสามารถและนวัตกรรมในช่วงทศวรรษที่ 1940 และ 1950 เขาได้เล่นกับวงของ Charlie Parker, Dizzy Gillespie, 그리고 Thelonious Monk
Davis เริ่มที่จะหันไปสู่แนวเพลง “modal jazz” ในช่วงปลายทศวรรษ 1950 ซึ่งเป็นรูปแบบแจ๊สที่แตกต่างจาก bebop แจ๊สแบบดั้งเดิม Modal Jazz มุ่งเน้นไปที่การใช้คอร์ดและมาตรฐาน tonal ที่ง่ายขึ้น
ในขณะที่ Bebop มีการเปลี่ยนแปลงคอร์ดอย่างรวดเร็ว, Modal Jazz จะคงคอร์ดไว้เป็นระยะเวลานานสร้างความรู้สึกที่สงบและยืดหยุ่น
“So What” เป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของแนวคิด Modal Jazz
เพลงนี้มีโครงสร้างที่เรียบง่ายมาก แบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก:
- ส่วนแรก อยู่ใน Key ของ D Dorian
- ส่วนที่สอง อยู่ใน Key ของ E Phrygian
ตารางต่อไปนี้แสดงโครงสร้างของ “So What”
ส่วน | Key |
---|---|
A | D Dorian |
B | E Phrygian |
A | D Dorian |
ความเรียบง่ายของ “So What” ทำให้มันเป็นเพลงที่นักดนตรีแจ๊สสามารถเล่นได้อย่างอิสระและสร้างสรรค์
นักดนตรีในวง “Kind of Blue” นั้นประกอบไปด้วย:
- Miles Davis - แตร
- John Coltrane - แซกโซโฟนเทเนอร์
- Cannonball Adderley - แซกโซโฟนแอลโต
- Paul Chambers - เบส
- Jimmy Cobb - กลอง
การบันทึกเพลง “So What” เป็นไปอย่าง improvisation และ spontaneous
Davis ปล่อยให้คนอื่นๆ improvise ในรูปแบบที่เป็นอิสระและสร้างสรรค์ ซึ่งนำไปสู่บทประพันธ์แจ๊สที่ไพเราะและน่าจดจำ
“So What” ได้รับการยกย่องว่าเป็นเพลงแจ๊สโมเดิร์นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล
ความเรียบง่ายของมัน ความไม่แน่นอน และความสามารถในการให้พื้นที่สำหรับ improvisation ทำให้มันกลายเป็นมาตรฐานของวงแจ๊ส
ลึกซึ้งลงไปใน “So What”
เมื่อฟัง “So What” อย่างใกล้ชิด คุณจะได้ยินหลายๆ อย่างที่ทำให้เพลงนี้พิเศษ:
1. โครงสร้างที่เรียบง่าย: ดังที่กล่าวไปแล้ว “So What” มีโครงสร้างที่เรียบง่ายมาก โดยแบ่งออกเป็นสองส่วนหลักที่มีคอร์ดเดียวกัน
ความเรียบง่ายนี้ช่วยให้มันเข้าใจได้ง่ายและทำให้สามารถ improvisation ได้อย่างอิสระ
2. การ improvisation ที่โดดเด่น:
นักดนตรีในวง “Kind of Blue” ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ชำนาญในการ improvisation และใน “So What” พวกเขาแสดงความสามารถของพวกเขาออกมาอย่างเต็มที่
John Coltrane ขึ้นชื่อเรื่องการ improvisation ที่รวดเร็วและแข็งแกร่ง ในขณะที่ Cannonball Adderley มี stylistic ที่รื่นรมย์
Miles Davis เล่น melody ด้วยสไตล์ที่สงบและมีไหวพริ้ว
3. เสียงกลองของ Jimmy Cobb:
Jimmy Cobb เป็นนักกลองแจ๊สที่มีความสามารถสูง และการเล่นกลองของเขานั้นเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความรู้สึก grooving ของ “So What”
เขาไม่ได้ตีกลองอย่างรวดเร็ว แต่เล่นจังหวะที่นุ่มนวลและมีพลัง
4. อิทธิพลต่อดนตรีแจ๊ส:
“So What” และ “Kind of Blue” มีอิทธิพลอย่างมากต่อดนตรีแจ๊ส
มันเปิดทางให้กับแนว Modal Jazz และทำให้แจ๊สเข้าถึงผู้ฟังได้กว้างขึ้น
สรุป:
“So What” เป็นเพลงแจ๊สที่เรียบง่าย แต่ทรงพลัง
ความเรียบง่าย โครงสร้าง การ improvisation ที่โดดเด่น และเสียงของนักดนตรีที่มีความสามารถสูง ทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในเพลงแจ๊สที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล
หากคุณยังไม่เคยฟัง “So What” มาก่อน ขอแนะนำให้ไปลองฟังดู
รับรองว่าคุณจะหลงรักการ improvisation ที่ไพเราะและความรู้สึกสงบของเพลงนี้